
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
เปิดพฤติกรรมนักช้อปออนไลน์บนมือถือ ใช้ 7 นาทีค้นข้อมูล สินค้าสุขภาพ ความงาม แกดเจ็ตมาแรงสุด
เปิดพฤติกรรมนักช้อปออนไลน์บนมือถือ ใช้ 7 นาทีค้นข้อมูล สินค้าสุขภาพ ความงาม แกดเจ็ตมาแรงสุด
Mon, 2015-05-25 16:00
ช้อปออนไลน์กำลังเป็นเทรนด์มาแรงในเวลานี้ มาดูกันว่า พฤติกรรมของนักช้อปชาวไทย จากการเปิดเผยของลาซาด้า เว็บช้อปปิ้งออนไลน์รายใหญ่ มีสาขาทั้งในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนามพบว่า
จากรายงานดัชนีชี้วัดผู้บริโภคของ Google ในปี 2557 พบว่าอุปกรณ์ที่ผู้บริโภคนิยมมากที่สุดในไทย สมาร์ทโฟน (ร้อยละ 40) และแท็บเล็ต (ร้อยละ 11) คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 26)

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
คนที่ใช้งาน LINE คงได้เจอกับการทำการตลาดของ LINE บ้างแล้วนะครับ เอาเป็นชื่อที่คุ้นเคยก็คือ LINE Flash Sales ที่ดูแลโดย aCommerce โดยตอนนี้ดำเนินงานมาแล้วเป็นเวลา 2 เดือน และทาง aCommerce ได้ทำสถิติออกมาให้ได้ดูถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากการทำ Mobile Commerce ในช่องทางใหม่สำหรับคนไทยนี้มาให้ดูกันครับ
หลังผ่านไป 2 เดือน ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากกับการร่วมมือกันระหว่าง aCommerce และ LINE ที่ทำ Mobile Commerce จนกลายเป็นกระแสขึ้นมา ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก
สำหรับ LINE Flash Deal นั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อกลางเดือนธันวาคม 2556 โดยแบรนด์ที่เข้ามาร่วมด้วยรายแรกก็คือ Maybelline จากทาง L’Oreal นั่นเอง
ข้อมูลที่ทาง aCommerce รวมรวมมาเป็น Infographic นี้เป็นการรวมข้อมูลของผู้ที่เข้ามาใช้บริการ LINE Flash Sales (Demographics), ข้อมูลของการซื้อของ, พฤติกรรมการใช้งานระหว่างโมบายล์และ Desktop และอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงเอกลักษณ์ของ Flash Sales ก็คือรูปแบบการชำระเงินและจัดส่งโดยใช้วิธี Cash On Delivery (COD) หรือชำระเงินพร้อมรับของเลย ซึ่งวิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่เข้าถึงกลุ่มคนได้มากไม่เฉพาะในไทยเท่านั้น แต่เป็นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
ข้อมูลทั้งหมดสามารถติดตามได้ใน Infographic ด้านล่างนี้ครับ
ที่มา: aCommerce
[Infographic] การเปิดเพจร้านบน facebook วันๆต้องเจอกับอะไรบ้าง? โดย Sellsuki
[Infographic] การเปิดเพจร้านบน facebook วันๆต้องเจอกับอะไรบ้าง? โดย Sellsuki
การเปิดร้านบนโลกออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วในปัจจุบัน เพราะมันสามารถทำได้ง่าย ใช้เวลาไม่มากในการทำความเข้าใจและการสร้างขึ้นมา รวมทั้งการดูแลต่อ นอกจาก e-commerce บนหน้าเว็บไซต์ที่ถูกใช้กลายมาเป็นร้านค้าแล้ว Facebook ก็คืออีก 1 อย่างที่คนหันมาใช้กันมากขึ้น
เลยมี Infographic จากทาง Sellsuki ทำขึ้นมาจากการสำรวจเพื่ออธิบายพฤติกรรมว่าในแต่ละวันเข้าของ Page เขาทำอะไรกันบ้างครับ…
จากการสำรวจพฤติกรรมของร้านค้าบน facebook จำนวน 20 ร้าน ที่มีแฟนเพจเฉลี่ย 5,000 ไลค์ขึ้นไป และมีรายการสั่งซื้อประมาณ 20 – 30 ออเดอร์ต่อวัน พบว่า ในแต่ละวันพ่อค้าแม่ค้าจะใช้เวลาไปกับการ “พูดคุยโต้ตอบลูกค้า” นั่นหมายความว่า ในหนึ่งวันบรรดาพ่อค้าแม่ค้าจะต้องเฝ้าหน้าจอ คอยตอบลูกค้ามากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน รองลงมาคือ “การจัดเตรียมสินค้า” เพื่อเตรียมแพ็คส่งลูกค้า ใช้เวลา 2 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนการตรวจสอบการโอนเงิน จะใช้เวลา 1 ชั่วโมงต่อวัน ที่ใช้เวลาไม่มาก เพราะบรรดาเจ้าของร้านหันมาใช้บริการ E-Banking แทนการไปธนาคารแบบเดิม ส่วนสุดท้ายที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่จากแบบสอบถามกลับพบว่าเป็นส่วนที่พ่อค้าแม่ค้ารู้สึกเสียแรงและเวลาอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ การ “คอยพิมพ์รหัส EMS แจ้งกับลูกค้า”
เห็นยุ่งๆแบบนี้ แต่ละร้านก็มีวิธีจัดการปัญหาที่แตกต่างกันไป แต่ที่เหมือนๆกันก็คือ “การแบ่งหน้าที่” ยิ่งมีผู้ช่วยหลายคน ก็ยิ่งเข้าถึงลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น การตกหล่นมีน้อยลง และปิดยอดได้ไวขึ้น แต่การที่แต่ละร้านจะเป็นที่รู้จักในเน็ตอย่างทุกวันนี้ พวกเค้าใช้เวลากว่า 1 – 2 ปี ในการโปรโมตให้ร้านเป็นที่รู้จัก ดังนั้น ใครที่เพิ่งเปิดร้านใหม่แล้วร้านยังเงียบๆ ก็อย่าเพิ่งท้อใจไปนะคะ พยายามศึกษาพฤติกรรมกลุ่มลูกค้าของเรา เพื่อนำไปใช้ในการโปรโมตร้านและคัดเลือกสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
6 Tips เด็ด! กับการป้องกันและลดการยกเลิกการซื้อสินค้าบนเว็บไซต์
6 Tips เด็ด! กับการป้องกันและลดการยกเลิกการซื้อสินค้าบนเว็บไซต์
มีเหตุผลมากมายที่ทำไมนักช้อปฯ จำนวน 68% ถึงยกเลิกสินค้า ผู้ขายสินค้าออนไลน์ทั่วโลกสูญเสียรายได้ถึง 3 พันพันล้าน! ในแต่ละปีจากการยกเลิกสินค้า นับเป็นมูลค่ามหาศาลที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
การยกเลิกสินค้าเป็นปัญหาในตลาดออนไลน์ทั่วโลก นักช้อปฯ จะเยี่ยมชมเวปไซต์ มองดูสินค้าในเวป คลิกลงตะกร้ารถเข็น และลาจากไปโดยไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น ซึ่ง 75% ของผู้ยกเลิกสินค้าครั้งแรก และกลับมาดูอีกครั้งในเวลาต่อมา จะมีแนวโน้มซื้อสินค้านั้น ยิ่งละทิ้งสินค้าและกลับมาดูบ่อยเท่าไหร่ ยิ่งเป็นสัญญาณที่ดีแก่ผู้ขายดังนั้นลูกค้าในกลุ่มนี้จัดเป็นลูกค้าคนสำคัญ และง่ายต่อการทำให้มาเป็นลูกค้าของเราในที่สุด
พบ 6 Tips เด็ด! กับการป้องกันและลดการยกเลิกการซื้อสินค้าบนเว็บไซต์
- แจ้งเตือนให้ทันเวลา ผ่านทางอีเมลและโฆษณา - 12 ชั่วโมงแรกหลังลูกค้ายกเลิกสินค้าในตะกร้ารถเข็นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะ72% ของลูกค้าจะกลับมาซื้อใหม่ภายใน 24 ชั่วโมง ร้านค้าหลายร้านได้รับลูกค้ากลับมาจากการแจ้งเตือนผ่านทางอีเมล รวมถึงโฆษณาแบบ Popup ที่เด้งขึ้นมาในกรณีการซื้อสินค้านั้นไม่สมบูรณ์
- ไม่มีค่าจัดส่งและควรส่งตรงเวลา - ไม่มีใครที่อยากรอสินค้านานและโดนเก็บค่าส่งเพิ่ม ลองเสนอการจัดส่งสินค้าฟรี รวมทั้งเพิ่มความรวดเร็วในการส่งจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
- ให้ความสำคัญกับลูกค้าที่ยังลังเล - ลูกค้าที่กลับมาดูสินค้าหลายๆ ครั้ง เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มที่จะซื้อสูง เมื่อเทียบกับลูกค้าที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ดังนั้นควรจัดให้พวกเขาเป็นกลุ่มเป้าหมายอันดับหนึ่ง
- ทำให้เว็บไซต์ใช้งานได้ง่ายในมือถือ - เนื่องจากการซื้อขายผ่านมือถือ มีอัตราการใช้เพิ่มขึ้นถึง 63% ในปี 2013 และผู้ซื้อจำนวนสูงถึง 85% คาดหวังว่าเว็บไซต์จะใช้งานได้ดีในมือถือ ดังนั้นอย่าปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป
- ออกแบบขั้นตอนการสั่งซื้อให้ง่ายเข้าไว้ - เพราะผู้ซื้อไม่ต้องการทำอะไรที่ซับซ้อนยุ่งยาก ตามหลักที่ว่า “อะไรง่ายๆ จะดีกว่าเสมอ”
- นำเสนอข้อมูลสินค้าให้ครบถ้วน - การให้ข้อมูลที่ครบถ้วนภายในหน้าเว็บไซต์ เป็นการเพิ่มความสะดวกกับผู้ซื้อโดยตรง ซึ่งช่วยลดการเปลี่ยนหน้าจอเพื่อไปหาข้อมูลเพิ่มเติม และลดการไปซื้อกับเว็บไซต์คู่แข่งแทน
Tips ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น จะได้ผลหรือไม่ ต้องลองเอาไปปรับแต่งใช้ดู ทั้งนี้ก็ควรคำนึงถึงประเภทของสินค้าที่ขายว่าเหมาะสมกับรูปแบบที่นำเสนอหรือไม่ เพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าให้สูงที่สุด
ที่มา Econsultancy
5 แนวทางสร้างกำไรจากธุรกิจ E-commerce
5 แนวทางสร้างกำไรจากธุรกิจ E-commerce
เป็นที่แน่นอนว่ากำไรเป็นตัวตัดสินชะตาธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดที่มีการแข่งขันสูงมากในทุกวันนี้ อย่าง ecommerce นั่นจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการจะทำอย่างไรในการสร้างกำไรให้กับบริษัทของตน ปัจจุบันมีปัญหาและอุปสรรคมากมายที่ร้านค้าออนไลน์ต้องเผชิญและเป็นสิ่งที่ยากในการรับมือกับปัญหาเหล่านั้นให้ได้เหมาะสมกับทุกด้าน
จากภาพด้านล่างคือ 5 กลยุทธ์ยอดฮิตที่เกี่ยวกับราคา ไม่ว่าจะเป็น การแข่งขันทางด้านราคา การดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ราคามีอิทธิพลสูง การตั้งราคากับภาพพจน์ของแบรนด์ การเพิ่มราคาอย่างโปร่งใส และการเพิ่มผลตอบแทนจากสินค้าคงคลัง ดูเหมือนว่าหัวข้อเหล่านี้จะเป็นงานที่รับมือลำบากทั้งสิ้น หากไม่มีการวางแผนดีๆ
มาตรฐานของกำไรในแต่ละร้านนั้นไม่เท่ากัน โดยส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 20 – 50% มีเพียง 27% ของร้านค้าที่ระบุว่ากลยุทธ์ทางด้านราคานั้นมีประสิทธิภาพ ส่วน 62% กล่าวว่าพวกเขามีบางอย่างที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเพียงแค่ด้านราคา และอีก 11% นั้น ไม่มีอะไรที่ใช้ได้ผลเลย ดังนั้นจะทำอย่างไรดีในการสร้างกำไรให้กับบริษัท
5 ทริคต่อไปนี้จะช่วยให้มันเกิดขึ้นได้
1. ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
การตั้งราคาใหม่อาจจะต้องใช้งบประมาณและเวลาเป็นจำนวนมาก ดังนั้น การใช้ทรัพยากรออนไลน์จึงเป็นเรื่องที่พึงกระทำ เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มผลิตผลแล้ว ยังช่วยลดค่าบริหารจัดการอีกด้วย
2. เพิ่มจำนวนการสั่งซื้อด้วยการลดราคา
กุญแจสำคัญของการลดราคาคือการทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่า ดังนั้นราคาที่ตั้งจึงมีความสำคัญมากกว่าราคาปกติของตัวสินค้า ผู้ประกอบการควรใช้หลักจิตวิทยาในการตั้งราคาเพื่อสร้างกำไร ในเบื้องต้นอาจจะดูขัดกับหลักการสร้างกำไรของธุรกิจ แต่การลดราคาสามารถเพิ่มกำไรได้หากทำให้การสั่งซื้อขั้นต่ำนั้น มีสูงกว่ายอดขายเฉลี่ย โดย 73% ของผู้ซื้อได้รับอิทธิพลจากการลดราคา การส่งสินค้าฟรีก็เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ใช้ได้ผลเพราะลูกค้าไม่ต้องการจ่ายเพิ่ม หรือแม้กระทั่งซื้อชิ้นอีกเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเพื่อให้ได้ส่งฟรี
3. จัดการสินค้าในคลัง
เพื่อที่จะคงยอดขายไว้ ผู้ประกอบการควรจัดการสินค้าในคลังให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากสินค้าขาดสต็อก มีความเป็นไปได้สูงถึง 77% ของลูกค้าที่จะเปลี่ยนไปซื้อกับคู่แข่งแทน ดังนั้นเราจำเป็นต้องรักษา 77% นี้ให้อยู่กับเรา
4. การบริการลูกค้า
การบริการลูกค้าที่ดีมีความสำคัญต่อความน่าเชื่อถือของร้านค้า หลายๆ บริษัทมักลืมให้ความสำคัญกับส่วนนี้ในกรณีที่ลูกค้าเกิดความไม่พอใจขึ้นมา พวกเขาต้องการความรับผิดชอบจากทางร้านอย่างทันที
Call Centers และ Email Support เป็นแนวทางในการรับมือที่ดี และมีแนวโน้มว่าทำให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้งกับร้านเดิม บริษัทอย่าง Zappos เสนอการบริการลูกค้าที่ดีและมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะตั้งราคาสูงกว่าร้านอื่น 66% ของผู้ซื้อ ต้องการซื้อเพิ่้มอีกหากได้รับการบริการที่ดีจากทางร้าน เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทางร้านก็จะรับผิดชอบได้
Call Centers และ Email Support เป็นแนวทางในการรับมือที่ดี และมีแนวโน้มว่าทำให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้งกับร้านเดิม บริษัทอย่าง Zappos เสนอการบริการลูกค้าที่ดีและมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะตั้งราคาสูงกว่าร้านอื่น 66% ของผู้ซื้อ ต้องการซื้อเพิ่้มอีกหากได้รับการบริการที่ดีจากทางร้าน เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทางร้านก็จะรับผิดชอบได้
5. การตั้งราคาแบบ Dynamic
คือการตั้งราคาตามกลุ่มลูกค้า กลยุทธ์นี้จะทำให้องค์กรสามารถกำหนดราคาสินค้าตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้อย่างถูกต้อง และปรับตัวได้ดีกว่าในสถานการณ์การตลาดที่มีความไม่แน่นอน 40% ของผู้ประกอบการมีการแพลนว่าจะใช้ Cloud หรือ SaaS ในการช่วยตั้งราคาแบบ Dynamic นี้ เพราะจะช่วยให้ผู้ประกอบการปฏิบัติต่อลูกค้าได้อย่างทันที ว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลงราคา ทั้งยักษ์ใหญ่ในวงการอย่าง Amazon และ Wal-Mart ทำการตั้งราคาสินค้าใหม่ทุกๆ 10 นาที จนถึง 50,000 ครั้งต่อเดือน ส่วน 36% แพลนว่าจะใช้ software มาเป็นตัวช่วยกำหนดราคาสินค้า ภายในปีหน้า ซึ่งวิธีเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทมีรายรับเพิ่มขึ้น 8% และกำไร 25% เพราะการเพิ่มราคาในขณะที่มีความต้องการของลูกค้าสูง หรือขณะที่สินค้าในสต็อกของคู่แข่งหมด จะสามารถสร้างกำไรกับเราได้
ที่มา : Econsultancy
ShopSpot เปิดตัวฟังก์ชั่นใหม่ ให้ช้อปกับเพื่อนได้สนุกกว่า
ShopSpot เปิดตัวฟังก์ชั่นใหม่ ให้ช้อปกับเพื่อนได้สนุกกว่า
วันที่: 17 May 2014
หมวดหมู่: E-Commerce, Mobile and Tablet industry, ข่าวไทย
ป้ายคำ: m-commerce, mobile application, mobile commerce, shopspot
หมวดหมู่: E-Commerce, Mobile and Tablet industry, ข่าวไทย
ป้ายคำ: m-commerce, mobile application, mobile commerce, shopspot
เป็นเรื่องปกติเวลาไปเดินช้อปปิ้งกับเพื่อน ที่เราจะต้องถามความเห็น ขอไอเดียว่าชิ้นไหนน่าซื้อมากกว่ากัน แต่ถ้าเป็นการช้อปออนไลน์ล่ะ? แอปฯช้อปปิ้งแนวหน้าอย่าง ShopSpot มีฟังก์ชั่นใหม่ที่ช่วยตอบโจทย์นี้ แล้ว
ฟังก์ชั่น “Share Saved List” ของแอปฯ ShopSpot ให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนไอเดียช้อปปิ้งกับเพื่อนๆ ได้ง่ายๆ เพียงเลือกสินค้าที่เราชอบ 6 ชิ้น แอพก็จะจัดเรียงภาพให้สวยงามพร้อมแชร์ไปยัง Social Network ต่างๆ ได้ทันที โดยทั้งหมดนี้ทำได้บนโทรศัพท์มือถือ Smartphone
ผู้ใช้ ShopSpot ที่ได้ลองใช้ฟังก์ชั่นนี้ หลายคนชอบประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับ และพบว่าเมื่อแชร์สินค้าไปมี feedback จากเพื่อนๆ ดีกว่าการแชร์รูปสินค้าธรรมดา นอกจากนี้หากเพื่อนชอบสินค้าที่เราแชร์ไป ก็สามารถคลิกมาดูและ ซื้อสินค้าได้อีกด้วย
ดัวอย่างการใช้งาน Video Share Saved List
ตัวอย่างภาพที่ชาว ShopSpotter แชร์มา
4 สิ่งที่ e-commerce มักจะทำพลาด เราควรหลีกเลี่ยงมันอย่างไร
ในยุคที่การทำการตลาดบนโลกออนไลน์กำลังเป็นที่น่าจับตามอง บล็อกที่มีการจัดเรียงหน้าตาให้อ่านง่าย และมีลักษณะการจัดการที่ดี จะช่วยส่งเสริมให้เป็นผู้นำของบล็อกที่โดดเด่น ดึงดูดผู้ชมเข้ามาได้มาก การทำบล็อกนั้น จะต้องใส่มุมมองของตัว Content Strategy ลงไป ซึ่งมีเว็บไซต์ E-commerce จำนวนมากที่ผู้เขียนเห็นว่ายังขาดเนื้อหาในส่วนนี้ไป สำหรับ E-commerce ที่เกี่ยวกับแฟชั่นนั้น มักจะทำให้ตัวเองเป็นผู้นำในด้านนี้โดยการเชื่อมโยงกับแฟชั่นที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการใส่ Content Strategy ในด้านนี้ลงไป
ดังนั้นหัวข้อนี้เราจะพูดถึง 4 ปัญหาหลักของเว็บไซต์ e-commerce ด้านแฟชั่นที่พบเจออยู่บ่อยๆ และวิธีการหลีกเลี่ยง
1. ขาดการเชื่อมโยงในการออกแบบหน้าหลักของเว็บไซต์
The Debenhams blog ทำภาพรวมออกมาได้ดูดี แต่จะดีกว่านั้นถ้าทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถทราบได้ว่าขณะนี้กำลังเข้าชมในหน้าหลักของเว็บไซต์ และสามารถย้อนกลับไปดูหน้าอื่นๆได้โดยง่าย ในส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการเข้าถึงหน้าหลักของเว็บฯ ได้โดยง่ายนั้น แสดงถึงการที่ผู้ชมจะเข้าถึง Content ง่ายเช่นเดียวกัน
สำหรับตัวอย่างที่แย่อีกอันมาจาก River Island พบว่าการถึงตัวเนื้อหาในเว็บไซต์ไปยังส่วนที่ซับซ้อนที่สุดภายในเว็บฯ แต่กลับใช้เวลาถึง 404 วินาที ซึ่งถือว่าเยอะมากร่วมๆ 6 นาที อีกประเด็นหนึ่งคือหลายๆ เว็บไซต์มักออกแบบเนื้อหาได้ดี แต่ขาดการเชื่อมโยงกับการขายสินต้นของแบรนด์พวกเขาเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
ดังนั้นสิ่งสำคัญเพื่อไปสู่ความสำเร็จ :
- เพิ่มการนำทางไปสู่หน้าหลักของเว็บฯ
- เชื่อมโยงเนื้อหากับสินค้าและบริการของแบรนด์ และอธิบายความสำคัญที่เสนอให้
- รวมบทความต่างๆ จากบล็อก เพื่อเชื่อมโยงไปยังผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดของคุณ
2. การออกแบบและการสื่อความหมาย ไม่สอดคล้องกัน
อีกปัญหาหนึ่งของเว็บฯด้านแฟชั่นคือ การไม่สอดคล้องกันของบล็อกกับหน้าหลัก ดังตัวอย่างจาก Serif แม้จะมีรูปแบบตัวอักษรสวยงาม แต่เนื้อหาจากในบล็อกนั้นไม่สอดคล้องกับเว็บฯหลัก และยากที่จะอ่านบนพื้นหลังสีดำ
กฎง่ายๆ ก็คือ : ทำให้มันสอดคล้องกัน
3. ไม่มีการนำ SEO มาใช้ในส่วนเนื้อหาและหัวข้อหลัก
แม้บางบล็อกจะออกแบบมาดูดีเพียงใด แต่จะไม่เป็นประโยชน์เลย ถ้าไม่เคยได้ขึ้นมาในผลการค้นหาของ search engines หรือถูกแชร์ในโซเชียลมีเดียใดๆ เนื่องมาจากไม่มีการใช้ SEO ที่ดีในส่วนของหัวข้อหลักและเนื้อหา เป็นที่แน่นอนว่าหากมีการพาดหัวข่าวในเว็บฯประเภทเครือข่ายสังคมรวมกระแสฮิตหรือแหล่งรวมเนื้อหาออนไลน์อย่าง BuzzFeed หรือ Upworthy ที่มีชื่อมากในปัจจุบัน ย่อมทำให้บล็อกนั้นเป็นที่สนใจของผู้ชม
มาดูตัวอย่างจากนิตยสาร Oasis Fashion ที่แสดงให้เห็นถึงการพาดหัวคลุมเครือโดยปราศจากคำอธิบายเป็นสิ่งผิดพลาดอย่างยิ่ง

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือ : แทรกเนื้อหาอธิบายเกี่ยวกับหัวข้อ เพื่อให้ผู้มองไม่ต้องคิด และยึดหลักของ SEO ในการเพิ่ม traffic ของเนื้อหาและหัวข้อหลัก เพื่อให้ผู้ใช้ค้นพบเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น
4. สร้างหัวข้อที่กว้างเกินไป
หลายๆ บล็อก E-commerce ไม่ยอมเจาะจงลงไปในหัวข้อที่ต้องการจะสื่อ จากการโพสต์ของ Oasis’s Let’s Go Psycling เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงการเผยแพร่เนื้อหาอย่างกว้างๆ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงกับผู้ชมเลย การไม่ได้ระบุว่าอะไรที่เป็นสิ่งที่ลูกค้าควรจะซื้ออาจทำให้ธุรกิจสูญเสียโอกาสนั้นไป ดังนั้นแนวทางการแก้ไขก็เพียงแค่ระบุลงไปในหัวข้อว่าต้องการจะสื่ออะไรกับลูกค้า
จาก 4 ตัวอย่างนี้เป็นเพียงการยกประเด็นที่พบบ่อยๆ มาให้เห็น เพื่อให้ทำการปรับปรุงและแก้ไข หากคุณเข้าใจปัญหาทั้งหมดนี้แล้ว จะสามารถพัฒนาและวางกลยุทธ์ในการทำบล็อกเพื่อ E-commerce ได้ดียิ่งขึ้น
ที่มา : Econsultancy
ในยุคที่การทำการตลาดบนโลกออนไลน์กำลังเป็นที่น่าจับตามอง บล็อกที่มีการจัดเรียงหน้าตาให้อ่านง่าย และมีลักษณะการจัดการที่ดี จะช่วยส่งเสริมให้เป็นผู้นำของบล็อกที่โดดเด่น ดึงดูดผู้ชมเข้ามาได้มาก การทำบล็อกนั้น จะต้องใส่มุมมองของตัว Content Strategy ลงไป ซึ่งมีเว็บไซต์ E-commerce จำนวนมากที่ผู้เขียนเห็นว่ายังขาดเนื้อหาในส่วนนี้ไป สำหรับ E-commerce ที่เกี่ยวกับแฟชั่นนั้น มักจะทำให้ตัวเองเป็นผู้นำในด้านนี้โดยการเชื่อมโยงกับแฟชั่นที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการใส่ Content Strategy ในด้านนี้ลงไป
ดังนั้นหัวข้อนี้เราจะพูดถึง 4 ปัญหาหลักของเว็บไซต์ e-commerce ด้านแฟชั่นที่พบเจออยู่บ่อยๆ และวิธีการหลีกเลี่ยง
1. ขาดการเชื่อมโยงในการออกแบบหน้าหลักของเว็บไซต์
The Debenhams blog ทำภาพรวมออกมาได้ดูดี แต่จะดีกว่านั้นถ้าทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถทราบได้ว่าขณะนี้กำลังเข้าชมในหน้าหลักของเว็บไซต์ และสามารถย้อนกลับไปดูหน้าอื่นๆได้โดยง่าย ในส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการเข้าถึงหน้าหลักของเว็บฯ ได้โดยง่ายนั้น แสดงถึงการที่ผู้ชมจะเข้าถึง Content ง่ายเช่นเดียวกัน
สำหรับตัวอย่างที่แย่อีกอันมาจาก River Island พบว่าการถึงตัวเนื้อหาในเว็บไซต์ไปยังส่วนที่ซับซ้อนที่สุดภายในเว็บฯ แต่กลับใช้เวลาถึง 404 วินาที ซึ่งถือว่าเยอะมากร่วมๆ 6 นาที อีกประเด็นหนึ่งคือหลายๆ เว็บไซต์มักออกแบบเนื้อหาได้ดี แต่ขาดการเชื่อมโยงกับการขายสินต้นของแบรนด์พวกเขาเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
ดังนั้นสิ่งสำคัญเพื่อไปสู่ความสำเร็จ :
- เพิ่มการนำทางไปสู่หน้าหลักของเว็บฯ
- เชื่อมโยงเนื้อหากับสินค้าและบริการของแบรนด์ และอธิบายความสำคัญที่เสนอให้
- รวมบทความต่างๆ จากบล็อก เพื่อเชื่อมโยงไปยังผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดของคุณ
2. การออกแบบและการสื่อความหมาย ไม่สอดคล้องกัน
อีกปัญหาหนึ่งของเว็บฯด้านแฟชั่นคือ การไม่สอดคล้องกันของบล็อกกับหน้าหลัก ดังตัวอย่างจาก Serif แม้จะมีรูปแบบตัวอักษรสวยงาม แต่เนื้อหาจากในบล็อกนั้นไม่สอดคล้องกับเว็บฯหลัก และยากที่จะอ่านบนพื้นหลังสีดำ
กฎง่ายๆ ก็คือ : ทำให้มันสอดคล้องกัน
กฎง่ายๆ ก็คือ : ทำให้มันสอดคล้องกัน
3. ไม่มีการนำ SEO มาใช้ในส่วนเนื้อหาและหัวข้อหลัก
แม้บางบล็อกจะออกแบบมาดูดีเพียงใด แต่จะไม่เป็นประโยชน์เลย ถ้าไม่เคยได้ขึ้นมาในผลการค้นหาของ search engines หรือถูกแชร์ในโซเชียลมีเดียใดๆ เนื่องมาจากไม่มีการใช้ SEO ที่ดีในส่วนของหัวข้อหลักและเนื้อหา เป็นที่แน่นอนว่าหากมีการพาดหัวข่าวในเว็บฯประเภทเครือข่ายสังคมรวมกระแสฮิตหรือแหล่งรวมเนื้อหาออนไลน์อย่าง BuzzFeed หรือ Upworthy ที่มีชื่อมากในปัจจุบัน ย่อมทำให้บล็อกนั้นเป็นที่สนใจของผู้ชม
มาดูตัวอย่างจากนิตยสาร Oasis Fashion ที่แสดงให้เห็นถึงการพาดหัวคลุมเครือโดยปราศจากคำอธิบายเป็นสิ่งผิดพลาดอย่างยิ่ง

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือ : แทรกเนื้อหาอธิบายเกี่ยวกับหัวข้อ เพื่อให้ผู้มองไม่ต้องคิด และยึดหลักของ SEO ในการเพิ่ม traffic ของเนื้อหาและหัวข้อหลัก เพื่อให้ผู้ใช้ค้นพบเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น
4. สร้างหัวข้อที่กว้างเกินไป
หลายๆ บล็อก E-commerce ไม่ยอมเจาะจงลงไปในหัวข้อที่ต้องการจะสื่อ จากการโพสต์ของ Oasis’s Let’s Go Psycling เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงการเผยแพร่เนื้อหาอย่างกว้างๆ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงกับผู้ชมเลย การไม่ได้ระบุว่าอะไรที่เป็นสิ่งที่ลูกค้าควรจะซื้ออาจทำให้ธุรกิจสูญเสียโอกาสนั้นไป ดังนั้นแนวทางการแก้ไขก็เพียงแค่ระบุลงไปในหัวข้อว่าต้องการจะสื่ออะไรกับลูกค้า
จาก 4 ตัวอย่างนี้เป็นเพียงการยกประเด็นที่พบบ่อยๆ มาให้เห็น เพื่อให้ทำการปรับปรุงและแก้ไข หากคุณเข้าใจปัญหาทั้งหมดนี้แล้ว จะสามารถพัฒนาและวางกลยุทธ์ในการทำบล็อกเพื่อ E-commerce ได้ดียิ่งขึ้น
ที่มา : Econsultancy
จะใช้ Instagram ให้มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพกับ E-commerce ได้อย่างไร
จะใช้ Instagram ให้มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพกับ E-commerce ได้อย่างไร
วันที่: 3 June 2014
หมวดหมู่: Business, E-Commerce, Social Media
ป้ายคำ: audience, e-commerce, hashtag, instagram, Picture sharing
หมวดหมู่: Business, E-Commerce, Social Media
ป้ายคำ: audience, e-commerce, hashtag, instagram, Picture sharing
จากการที่มี 100 ล้านบัญชีผู้ใช้งาน และกว่า 40 ล้านรูปภาพที่ถูกอัพโหลดขึ้นต่อวัน รวมถึง 1000 คอมเมนต์ต่อวินาที Instagram จึงเป็นอีกช่องทางที่นักการตลาดต้องการเข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมหาศาลเหล่านี้
นอกจากเป็นแหล่งรวมรูปถ่าย selfies หรือลงภาพแมวเหมียวแล้ว Instagram ยังเป็นพื้นที่ที่มีการลงรูปและพูดถึงเกี่ยวกับแบรนด์ในทุกๆ วัน จากสถิติของแบรนด์เหล่านี้ :
• #Starbucks – 2.6 ล้านรูป
• #Nike – 12.7 ล้านรูป
• #Michaelkors – 1 ล้านรูป
• #Chanel – 2.4 ล้านรูป
• #Audi – 1 ล้านรูป
• #Nike – 12.7 ล้านรูป
• #Michaelkors – 1 ล้านรูป
• #Chanel – 2.4 ล้านรูป
• #Audi – 1 ล้านรูป
อย่างไรก็ตามบางแบรนด์ยังคงลังเลที่จะทำการตลาดบน Instagram เนื่องจากพบปัญหาหลายอย่าง ซึ่งหัวข้อที่นำเสนอด้านล่างนี้ จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจ E-commerce เปลี่ยนใจมาลองการตลาดบน Instagram ดูบ้าง :
แม้จะยากในการเชื่อมโยงไปสู่การขาย แต่ก็มีวิธีแก้ปัญหานี้
แม้ว่านักการตลาดจะใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียในการลงโปรโมชั่น สร้างแคมเปญออนไลน์ต่างๆ แต่พวกเขาก็ต้องการเครื่องมือในการวัดผลที่แม่นยำที่เชื่อมโยงกับยอดขายโดยตรง จากผลสำรวจของ Adobe พบว่า 88% ของนักการตลาดออนไลน์มีความเห็นตรงกันว่า พวกเขาไม่คิดว่าจะวัดและประเมินผล ROI ได้อย่างแม่นยำจากวิธีการตลาดทางโซเชียล แน่นอนว่ามีเครื่องมือและรูปแบบต่างๆ ที่สามารถนำมาประเมินผลได้อย่างคร่าวๆ เช่น จำนวนผู้กด like หรือจำนวนผู้ติดตาม จำนวนการแชร์ เป็นต้น แต่มันไม่สามารถนำไปวัดผลได้อย่างถูกต้อง แม้ธุรกิจของคุณอาจจะมีผู้ติดตามจำนวน 10 คน ซึ่งถ้าเข้าไปถามคนเหล่านี้เกี่ยวกับสินค้าของคุณ ก็จะพบกับ 10 คำตอบเช่นกัน
ข่าวดี คือ ณ ตอนนี้มีผู้พัฒนาเครื่องมือ แพลตฟอร์ม และบริการใหม่ๆ ขึ้นมาทุกวัน ซึ่งช่วยลดช่องว่างระหว่างการตลาดบนโซเชียลกับค่าใช้จ่ายและรายได้ของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการใช้บริการ SaaS ในการดูแลระบบทั้งหมด หรือการเรียกใช้ API ของ Instagram โดยตรง และอีกหลากหลายวิธี ซึ่งจะใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้หรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับวิธีการเลือกใช้ให้เหมาะสมด้วย
ดังขั้นตอนที่แนะนำด้านล่างนี้ จะสามารถเพิ่มยอดขายของ ecommerce ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นยกระดับ user-generated content จาก Instagram
- เปิดตัวแคมเปญ หรือทำการแข่งขันต่างๆ เพื่อรวบรวมรูปภาพของผู้ใช้ลงสู่ microsite หรือหน้าเพจบน Facebook (เป็นการ engage ลูกค้า)
- ระบุสินค้าของคุณจากรูป display เหล่านั้นและทำการเชื่อมโยงไปยังหน้าเพจ ecommerce (เพิ่ม traffic และการ click-throughs)
- ทำการฝังรูปภาพ display ของลูกค้าลงในหน้าแสดงสินค้า (เป็นการนำเสนอสินค้าออกสู่โลกโซเชียล)
ส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ – ออกแคมเปญหรือทำการประกวด
หากแบรนด์ของคุณไม่ใช่ Nike หรือ Starbucks ที่มี hashtag เป็นล้านรูปอยู่แล้วบน Instagram คุณจึงจำเป็นต้องออกแคมเปญประเภทประกวดรูปถ่ายจากทางบ้านที่จะช่วยรวบรวมภาพที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของคุณได้เป็นอย่างดี
ยกตัวอย่างแบรนด์เสื้อผ้าจากภาพด้านล่าง ได้ทำการวางแคมเปญให้ลูกค้าแชร์รูปภาพที่ชื่นชอบของช่วงเวลาในฤดูร้อน เพื่อได้รับบัตรกำนัลมูลค่า 500 ดอลล่าร์ในการช้อปปิ้งออนไลน์ โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ :
ยกตัวอย่างแบรนด์เสื้อผ้าจากภาพด้านล่าง ได้ทำการวางแคมเปญให้ลูกค้าแชร์รูปภาพที่ชื่นชอบของช่วงเวลาในฤดูร้อน เพื่อได้รับบัตรกำนัลมูลค่า 500 ดอลล่าร์ในการช้อปปิ้งออนไลน์ โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ :
เพราะ hashtag เป็นตัวกลางที่ทำให้แบรนด์รวบรวมรูปภาพได้ การเลือกชื่อสำหรับ hashtag จึงต้องมีเอกลักษณ์และความเรียบง่าย คงไว้ด้วยความเป็นแบรนด์และทำให้ผู้อื่นจดจำได้ง่าย หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์ยาวๆ และระมัดระวังในการรวมคำศัพท์ มิเช่นนั้นอาจกลายเป็นได้คำศัพท์ใหม่ๆ ที่ไม่สุภาพขึ้นมา เช่น #SusanAlbumParty แต่กลับกลายเป็น #SusAnalBumParty เรื่องจริงที่สร้างความขบขันของแคมเปญเปิดตัวอัลบั้มใหม่จากนักร้องเสียงทรงพลังในรายการ Got Talent
2. เลือก Theme
พยายามให้ลูกค้าโฟกัสไปที่แบรนด์ของคุณโดยการเลือก Theme ที่เกี่ยวกับสินค้า ซึ่งไม่ควรมีความหมายกว้างหรือแคบจนเกินไป ทำให้ง่ายเข้าไว้เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้ใช้งาน Instagram เหล่านี้รู้สึกสนุกสนานขณะทำการแชร์รูปภาพ
3. แสดงรูปภาพ
ก้าวแรกที่ยกระดับแบรนด์ของคุณคือการแสดงรูปภาพเหล่านั้นออกสู่สาธารณะด้วยการใช้ microsite หรือเพิ่มอัลบั้มบน Facebook ในการแสดงภาพทั้งหมด ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิด user-generated content ที่มีคุณค่าออกสู่สายตาผู้คนได้เป็นอย่างดี
เชื่อมโยงรูปภาพกับหน้าแสดงสินค้าของคุณ
เมื่อสร้างแคมเปญและรวบรวมรูปภาพได้เป็นจำนวนหนึ่งแล้ว จะดียิ่งขึ้นหากทำการเชื่อมโยงกับสินค้าของคุณ จากตัวอย่างที่แสดงด้านล่างนี้ เป็นการทำ link ไปยังหน้าแสดงสินค้าบนเว็บฯ ecommerce โดยตรง เพิ่มยอดขายได้อีกทางหนึ่ง และยังเป็นการติดตาม traffic ของลูกค้าจาก link เหล่านี้ได้อีกด้วย
ดึงรูปภาพจากลูกค้าลงบน Ecommerce ของคุณ
คอนเซ็ป Social proof หรือการเป็นที่ยอมรับในสังคมก็สามารถนำมาใช้ในจุดนี้ได้ เพราะเป็นการดูแนวโน้มว่าผู้คนส่วนใหญ่ชอบอะไร ส่งผลให้เกิดจากตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น วัตถุประสงค์หลักของการแสดงรูปลงบนหน้า Ecommerce คือ เพิ่มความมั่นใจของลูกค้าในการซื้อสินค้าและเป็นการช่วยสร้าง Social proof เมื่อลูกค้าเกิดความลังเลที่จะซื้อ
สิ่งสำคัญที่ต้องระวัง!
หากคุณใช้วิธีที่นำเสนอข้างต้นในการยกระดับ Ecommerce เพื่อเพิ่มยอดขาย สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมในการนำรูปภาพจากลูกค้ามาใช้ คือ “ความเต็มใจและยินยอม” ของพวกเขา ไม่ควรบันทึกรูปภาพใดๆ แต่ควรแสดงโดยใช้ URL บน Instagram เพราะถ้ามีการลบภาพหรือตั้ง user เป็น private จากลูกค้า ย่อมเป็นการยืนยันว่าลูกค้าไม่ต้องการแสดงสิ่งนี้ให้ผู้อื่นเห็นซึ่งจะไม่โชว์รูปบนเว็บฯของคุณอย่างอัตโนมัติ
สุดท้ายนี้สำหรับการสร้างแคมเปญควรแจ้งให้เหล่า audience ของคุณให้ชัดเจนว่าความตั้งใจของคุณคืออะไร และส่งเสริมให้พวกเขาแบ่งปันภาพถ่ายด้วยความมั่นใจและเต็มใจ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ในที่สุดก็จะพบว่าแบรนด์ของคุณมีเหล่าบรรดาแฟนคลับที่ต้องการมีส่วนร่วมด้วยความเต็มใจ ตราบใดที่พวกเขารู้ว่าสิ่งที่คุณกำลังทำนั้นสำคัญอย่างไร
ที่มา : Kissmetrics
สัมภาษณ์พิเศษ “STYLHUNT” บริการค้นหาร้านค้าในโซเชียลมีเดียโดยคนไทย
สัมภาษณ์พิเศษ “STYLHUNT” บริการค้นหาร้านค้าในโซเชียลมีเดียโดยคนไทย
วันนี้เรามีบทสัมภาษณ์พิเศษจาก Startup ที่ได้เข้าร่วมโครงการ JFDI กันอีกราย โดย Startup แห่งนี้มีชื่อว่า… STYLHUNT วันนี้เราจะไปพูดคุยกับคุณสุรวัฒน์ พรหมโยธินหรือ แซม CEO จาก STYLHUNT ผู้ให้บริการค้นหาร้านค้าในโลกโซเชียล ไม่ว่าจะเป็น Facebook และ Instagram ทำให้นักช้อปฯ ออนไลน์ค้นพบสินค้าที่ต้องการได้ง่ายยิ่งขึ้นนั่นเอง
thumbsup : รบกวนแนะนำตัวเองและประวัติคร่าวๆ ก่อนที่จะเริ่มธุรกิจ STYLHUNT
แซม: สุรวัฒน์ พรหมโยธินหรือ แซม ผมเป็นคนไทยครับแต่เกิดและโตในอเมริกาและด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคนไทยแท้ๆ แต่ย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศในช่วงเวลาที่ผมเติบโต ผมจึงได้รับการเลี้ยงดูแบบลูกผสมระหว่างตะวันตกและตะวันออก ผมจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ สหรัฐอเมริกา ปริญญาโทสาขาวิชาบริหารธุรกิจ (นานาชาติ) สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แซม: สุรวัฒน์ พรหมโยธินหรือ แซม ผมเป็นคนไทยครับแต่เกิดและโตในอเมริกาและด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคนไทยแท้ๆ แต่ย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศในช่วงเวลาที่ผมเติบโต ผมจึงได้รับการเลี้ยงดูแบบลูกผสมระหว่างตะวันตกและตะวันออก ผมจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ สหรัฐอเมริกา ปริญญาโทสาขาวิชาบริหารธุรกิจ (นานาชาติ) สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ชีวิตการทำงานของผมแบ่งได้เป็น 2 ช่วงครับ ครึ่งแรกของชีวิตการทำงานคือที่ Silicon Valley ในตำแหน่งผู้จัดการผมมีโอกาสบริหารงานหลายด้าน ทั้งงานทางด้านเทคนิควิศวกรรม, งานขาย, การตลาด, การจัดการสินค้า และทรัพยากรบุคคล ที่ Silicon Valley ผมมีประสบการณ์ในการวางกลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับองค์กรธุรกิจระดับโลกที่มีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนั้นยังร่วมบุกเบิกในขั้นตอนการพัฒนาผลิตภัณท์ใหม่โดยในจำนวนนั้นมีสินค้าใหม่จำนวน 20 รายการซึ่งผ่านกระบวนการพัฒนาผลิตภัณท์และได้ออกจำหน่ายสู่ตลาดสากล ครึ่งที่ 2 ของชีวิตการทำงานเริ่มต้นในประเทศไทย ผมเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Groupon Thailand และหลังจากนั้นผมได้เข้าทำงานที่บริษัท Lyreco (a European based company) ผลงานการทำงานของผมคือรางวัล Sales Director award ซึ่งชนะผู้เข้าแข่งขันจาก 27ประเทศทั่วโลก
thumbsup : อะไรเป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มธุรกิจของตัวเอง?แซม: ผมชอบทำงานครับ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมหลงใหลในการทำงานคือ การได้เห็น “พัฒนาการ” ทั้งในด้านทรัพยากรบุคคล, ขั้นตอนการปฏิบัติงานและวัฒนธรรมองค์กร สำหรับผมแล้ว startup คือ การแสดงออกถึงความชื่นชอบในสิ่งเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
ตอนที่ผมทำงานอยู่ที่ Groupon ผมได้รับการติดต่อจากคุณพีระพล, คุณพิชญ์พล เพ็ญมาศ และคุณก้องเกียรติ ศุภกิจจงเจริญ (กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ผู้ซึ่งมีประสบการณ์การขายของผ่าน eBay ในระดับ eBay Power Sellers) เพื่อขอคำปรึกษาในการจัดตั้งธุรกิจและหาผู้ลงทุน แม้ว่าขณะนั้นเราจะยังไม่ได้ร่วมงานกันแต่จากการพูดคุยในครั้งนั้นและหลายๆ ครั้งต่อๆ มา ผมคิดว่านี่คือทีมที่ผมอยากจะร่วมงานด้วย เพราะพวกเขามีทั้งทักษะในงาน, มีความมุ่งมั่น, สร้างสรรค์ และที่สำคัญ “มีความรัก” ในงานที่ทำ ในเวลาต่อมาเราได้คุณเมธี ตรีวิเชียร นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่มีความสามารถเข้ามาร่วมทีมด้วย ผมมีความเชื่อมั่นในทีมงานนี้เป็นอย่างมาก จนกระทั่งเมื่อสิ้นปี 2556 ที่ผ่านมา ผมจึงตัดสินใจว่าตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2557นี้เป็นต้นไป ผมจะรับหน้าที่ในตำแหน่ง ซีอีโอ STYLHUNT อย่างเต็มตัว
thumbsup : STYLHUNT คืออะไร ? อะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำธุรกิจนี้ ? และจุดเด่นที่แตกต่างจากบริการอื่นคืออะไร?แซม: การจะอธิบาย STYLHUNT ผมว่าเราต้องทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของตลาดช้อปปิ้งออนไลน์ในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในตะวันออกเฉียงใต้กันก่อน ความแตกต่างอยู่ตรงที่ผู้คนส่วนใหญ่ซื้อของจากร้านค้าใน Facebook และ Instagram ไม่ใช่ตามเว็บไซต์ e-commerce นอกจากนี้ร้านค้าออนไลน์กว่า 1000 ร้านที่มีอยู่นั้น ไม่ลงทุนในการทำ SEO ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะค้นพบร้านค้าออนไลน์เหล่านั้นผ่าน Search Engine เราทดสอบ โดยขอให้ผู้ซื้อค้นหาร้านค้าผ่าน Google และพบว่าผู้ซื้อต้องทำการคลิกมากกว่า 500 ครั้งจึงจะพบร้านค้าเพียง 1 ร้านเท่านั้น แม้ว่าร้านนั้นจะเป็นหนึ่งในร้านค้าที่มีชื่อเสียงติด 20 อันดับแรกบนเฟสบุคของประเทศไทยก็ตาม
STYLHUNT จะช่วยลดเวลาการค้นหาจากกว่า 500 เหลือเพียง 2 คลิกเท่านั้น พวกเรารวบรวมร้านค้าให้อยู่ในที่เดียว จัดเป็นหมวดหมู่ตามประเภท และเรียงลำดับตามจำนวนยอด Likes วิธีนี้ไม่เพียงบอกระดับความนิยมของร้านค้า ทั้งยังแสดงถึงความน่าเชื่อถือของร้านค้าได้อีกด้วย ความน่าเชื่อถือนั้นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับลูกค้าในการทำธุรกรรมทั้งการโอนเงินผ่านธนาคารและการส่งสินค้า เราเชื่อว่าบริการนี้จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรม e-commerce ในไทยโดยตรง เนื่องจากผู้ซื้อออนไลน์นับล้านคนจะสามารถค้นพบร้านค้าเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นความภูมิใจของเรา โดยกว่า 30 ร้านค้าบน Facebook (ในหมวดหมู่เสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว) ที่เรารวบรวมได้ในขณะนี้มียอด Likes เป็นจำนวนสูงถึง 100,000 – 1,300,000 likes
thumbsup : ช่วยแชร์ Business Model ของคุณ ว่ามีลักษณะเช่นไร?แซม: เรามีส่วนคล้าย Google ครับ เราคือ Search Engine สำหรับร้านค้าและแบรนด์สินค้าแฟชั่น จากมุมมองทางการตลาดแล้วช่องทางที่เรานำเสนอนั้นถือว่ามีประสิทธิภาพมากเนื่องจาก Users ของเราคือกลุ่มนักช้อปออนไลน์ที่มีความคุ้นเคยกับการสั่งซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว ดังนั้นการนำเสนอสินค้าผ่านช่องทางของเราจึงเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้า, สร้างระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) และทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น (brand awareness )
thumbsup : ในอีก 2 ปีข้างหน้า คุณวางแผนแนวทางอย่างไรกับบริการ STYLHUNT ?แซม: แผนของเราคือ การเป็นทางเลือกอันดับ 1 สำหรับนักช้อปออนไลน์ทั้งในประเทศไทย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ในการค้นหาสินค้าแทน Google วิสัยทัศน์ของเราก็คือ การรวมจุดเด่นต่างๆ ของ Google, Yelp, Pinterest, Tinder และ Alibaba ใน Stylhunt เพื่อให้เราเป็นศูนย์การค้าออนไลน์ที่ดีที่สุดไม่เพียงแต่ในประเทศไทยแต่ในต่างประเทศด้วย
thumbsup : อะไรคืออุปสรรคหรือความท้าทายที่คุณพบเจอ และมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร?แซม: ความท้าทายของเรา คือ อุปสรรคในเรื่องการสื่อสารภาษาอังกฤษ แม้ว่าสมาชิกในทีมของผม ภาษาอังกฤษจะไม่แข็งแรง เราได้ใช้โอกาสในการเข้าร่วมโครงการ JFDI ในประเทศสิงคโปร์นี้ให้เป็นประโยชน์ สมาชิกในทีมของผมทุกคนจะผลัดกันนำเสนอธุรกิจ (pitching) เป็นภาษาอังกฤษต่อหน้าผู้ฟังที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพหรือแม้กระทั่งนักลงทุนต่างชาติ จากการฝึกซ้อมอย่างหนัก แม้จะมีอุปสรรคทางด้านภาษาพวกเขาทุกคนสามารถนำเสนอธุรกิจได้อย่างเป็นมืออาชีพ มีการนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นแบบแผน เนื้อหาครบถ้วนและชัดเจน ไม่ทำให้ผู้ฟังสับสน ซึ่งการนำเสนอที่มีคุณภาพนี้ทำให้ทีมของเราเป็นที่ยอมรับและได้รับการจดจำ
thumbsup : คุณเข้าร่วมโครงการ JFDI ได้อย่างไร และได้เรียนรู้อะไรบ้างจากที่นั่นบ้าง?แซม: สมาชิกในทีมของผมรู้จัก JFDI อยู่แล้วในฐานะ Startup Accelerator อันดับ 1 ในเอเชีย เราใช้เวลาหลายวันในการสมัครเข้าร่วมโครงการผ่านทางเวปไซต์ จัดทำวิดีโอแนะนำทีมงาน และนำเสนอคอนเซ็ปต์ทางธุรกิจของเราให้คณะกรรมการตัดสินขั้นตอนการคัดเลือกจบลงด้วยการสัมภาษณ์สดเป็นภาษาอังกฤษผ่านทางวีดีโอออนไลน์ โดยคำถามในระหว่างการสัมภาษณ์เป็นคำถามที่ค่อนข้างละเอียดและเจาะลึกตั้งแต่ระดับองค์กร จริยธรรมการทำงาน และความเคารพซึ่งกันและกันในทีม โดยตลอดขั้นตอนการคัดเลือกเราได้ให้เห็นถึงคุณภาพของโปรแกรมนี้ได้เป็นอย่างดี
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาความรู้และประสบการณ์ที่เราได้รับจาก JFDI นั้นมีมากมาย โดยผมขอสรุปเป็นประเด็นสำคัญๆ บางส่วนไว้ดังนี้ :
- Pitch Workshop นั้น สอนโดยโค้ชมืออาชีพ
- Mentor Sessions นั้นมีเกือบทุกวัน ผู้ให้คำปรึกษาคือนักลงทุนจากทั่วโลกและผู้ประกอบการที่มีความรู้ในเนื้อหาดังตัวอย่างต่อไปนี้
- Mentor Sessions นั้นมีเกือบทุกวัน ผู้ให้คำปรึกษาคือนักลงทุนจากทั่วโลกและผู้ประกอบการที่มีความรู้ในเนื้อหาดังตัวอย่างต่อไปนี้
- การจดทะเบียนและข้อตกลงทางกฎหมาย
- การพัฒนาลูกค้า
- สินค้า / ความเหมาะสมกับตลาด
- UX / UI Best Practices
- การวิเคราะห์
- การพัฒนาปรับขยายธุรกิจ
- การระดมทุน
- การวางแผนทางการเงิน
- โอกาสในการพูดคุยและแนะนำตัวกับเครือข่ายนักลงทุนและผู้ประกอบการที่มีทรัพย์สินมากกว่า 1 พันล้านดอลล่าร์ภายใต้การบริหารจัดการ
สำหรับผมแล้ว นี่จึงเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้อีกแล้วสำหรับเหล่า startup ภายในระยะเวลาเพียง 100 วัน
สำหรับผมแล้ว นี่จึงเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้อีกแล้วสำหรับเหล่า startup ภายในระยะเวลาเพียง 100 วัน
thumbsup : คุณมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับธุรกิจ e-commerce ในไทยอย่างไร?แซม: ด้วยคำถามเดียวกันนี้ ถ้าถามผมเมื่อ 2 – 3 ปีที่ผ่านมาผมเชื่อว่านักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกกับเงินลงทุนก้อนโตเท่านั้นจึงจะสามารถครองตลาด e-commerce ในประเทศไทยได้สำเร็จ แต่สำหรับทุกวันนี้ ผมเชื่อว่าลักษณะเฉพาะของตลาด e-commerce ในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ได้สร้างความได้เปรียบให้กับนักลงทุนระดับโลกที่ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดแบบสากลและคาดหวังความสำเร็จเดียวกันในตลาดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้ ในทางกลับกันการเป็นผู้นำที่จะประสบความสำเร็จได้ในตลาด e-commerce นี้นั้น จะต้องมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปแบบกลยุทธ์ทางการตลาดให้เหมาะสมกับความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคในภูมิภาคที่สนใจ ผมคิดว่าคำถามสำคัญคือ ผู้ประกอบย่อยรายไหนจะได้รับความสนใจและถูกซื้อ (acquisition) โดยผู้เล่นระดับโลกเหล่านี้ และการถูกซื้อที่จะไม่ทำลายคุณค่าของธุรกิจนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ซื้อเหล่านี้เขาใจและเคารพในคุณค่าและเอกลักษณ์ของตลาดที่เขาดำเนินธุรกิจอยู่นั่นเอง
thumbsup : สุดท้ายนี้มีอะไรจะฝากถึงเหล่า startups คนไทยบ้าง ?แซม: ผมแนะนำให้อ่านหนังสือ “The Lean Startup” ของ Eric Ries ยิ่งอ่านครบสามครั้งได้ยิ่งดี คุณจะได้รับคำแนะนำที่สำคัญมากๆ สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ หลายคนเข้าใจประเด็นสำคัญที่หนังสือเล่มนี้ต้องการจะสื่อผิด เนื่องจากพวกเขาไม่เคยอ่าน หลายคนที่อ่านแล้วก็ยังไม่สามารถหลุดกรอบและเปิดรับแนวความคิดของหนังสือเล่มนี้ได้โดยเฉพาะในหัวข้อที่เกี่ยวกับ MVP ประสบการณ์ในอดีตและการยึดติดในวิธีการเดิมๆ จะเป็นตัวปิดกั้นพวกเขาจากวงจร สร้าง-วัดผล-เรียนรู้ (Build-Measure-Learn cycle) ซึ่ง Eric Ries ได้ให้คำอธิบายว่าสิ่งเหล่านี่เป็นนักฆ่าของเหล่า startups
สำหรับผมแล้ว “The Lean Startup” มีความสำคัญมากถึงขนาดที่ว่าก้าวแรกของผมในการเป็น CEO ของ STYLHUNT คือการจัดเตรียม slide สรุปเนื้อจากหนังสือเล่มนี้เพื่อใช้ในการฝึกอบรมสมาชิกในวันแรกของการทำงานร่วมกันของเรา แนวคิดที่ว่านี้ทำให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพส่งผลให้ได้รับคัดเลือกเข้าโครงการ JFDI และมีผลลัพธ์จากการทำงานได้อย่างรวดเร็วและน่าประทับใจมากครับ
LINE ประเทศไทยเปิดตัว LINE Shop ช็อปกระจาย ขายกระจุยผ่านแอป
LINE ประเทศไทยเปิดตัว LINE Shop ช็อปกระจาย ขายกระจุยผ่านแอป
LINE ขยายตลาดจากการเป็นแพล็ตฟอร์มการแชตและช่องทางขายดีลด้วยการเปิดตัว LINE Shop พื้นที่สำหรับร้านค้าเพื่อเป็นศูนย์กลางให้กับทั้งคนอยากซื้อและคนอยากขายได้เข้ามาในที่เดียวกัน
วันนี้ทาง LINE Official Account ได้ประกาศเปิดตัว LINE Shop แอปพลิเคชันสำหรับซื้อขายสินค้าที่อาศัยแพล็ตฟอร์มตัวเองครั้งแรกในประเทศไทย โดยเปิดโอกาสให้ใครก็ตามที่สนใจได้เข้ามาซื้อมาขายกันได้สะดวกสบายบนหน้าจอมือถือและแท็บเล็ต
รูปแบบของการซื้อขายสินค้านั้นก็เหมือนเป็นมอลล์ร้านค้าใน LINE คล้ายกับเว็บ e-commerce ทั่วๆ ไป นั่นคือเราสามารถที่จะหาร้านค้าหรือจากหมวดหมู่ที่เราต้องการได้ รวมไปถึงกดติดตามความเคลื่อนไหวของร้านค้านั้นเมื่อมีสินค้าหรือข่าวสารใหม่ๆ แจ้งเข้ามา
ข้อดีส่วนหนึ่งคือการนำระบบการพูดคุยที่เป็นแกนหลักของ LINE อยู่แล้วมาเป็นส่วนหนึ่งของการซื้อของ โดยเราสามารถที่จะพูดคุยหรือส่งข้อความไปยังเจ้าของร้านเพื่อสอบถามสินค้าได้ก่อนจะซื้อสินค้านั้นๆ ซึ่งการเปิดร้านบน Facebook และการเปิด(ฝาก) ร้านผ่าน Instagram ไม่สามารถทำได้อย่างสะดวกนัก และในหน้าจอแชทก็จะมีการแจ้งสินค้าที่เราต้องการและสนใจอย่างชัดเจน ซึ่งสร้างความสะดวกและสร้างความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายได้ง่าย
ในส่วนของการเปิดร้านก็จะมี 2 แบบคือ เปิดร้านธรรมดา และ เปิดร้านที่ได้รับการรับรอง (verified shop) ความต่างของสองร้านนี้คือ ร้านธรรมดา สามารถเปิดได้เลย ส่วนร้านค้าที่ได้รับการรับรองจะต้องนำส่งเอกสารเพิ่มเติมให้กับทาง LINE เพื่อเป็นการยืนยันตัวตน โดยทั้งคู่ สามารถเปิดได้แบบฟรีๆ
ใครสนใจอยากลองหาสินค้าจากร้านค้าหรืออยากทดลองนำของมาขาย สามารถเข้าไปดาวน์โหลดแอปมาใช้ได้แบบฟรีๆ ได้แล้ววันนี้ ที่ App Storeและ Google Play
ชวนมาดู 5 อุปกรณ์ Wearable ยอดฮิตจากเว็บไซต์อเมซอน
ชวนมาดู 5 อุปกรณ์ Wearable ยอดฮิตจากเว็บไซต์อเมซอน
วันที่: 16 July 2014
หมวดหมู่: Business, E-Commerce
ป้ายคำ: amazon, uk, Wearable Device, Wearable Tech Store
หมวดหมู่: Business, E-Commerce
ป้ายคำ: amazon, uk, Wearable Device, Wearable Tech Store
รายงานจาก PSFK ได้จัดอันดับ Top 5 สินค้า Wearable Devices ยอดนิยม จากหมวดหมู่ Wearable Tech Store ของร้านค้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่อย่างอเมซอนในประเทศอังกฤษ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
จากการขยายตลาดของอเมซอนในสินค้าหมวดหมู่ Wearable Tech Store เมื่อสัปดาห์ก่อน ดูเหมือนว่าผู้ชอปปิ้งออนไลน์ในเกาะอังกฤษจะให้ความสนใจเป็นอย่างดี โดยทางร้านได้ทำการสต็อกสินค้ากว่า 100 รายการเป็นที่เรียบร้อย โดยบทความนี้ได้นำเนื้อหามาจาก Future of Wearable Tech report ที่ได้รวบรวมสินค้า Wearable Device ยอดนิยมในท้องตลาดที่มีแนวโน้มจะเป็นเทรนด์ของผู้บริโภคในอนาคตด้าน Wearable Tech
Autographer
Autographer ได้เปิดตัวสู่ท้องตลาดเมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกล้องขนาดเล็กที่สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้พบกับประสบการณ์ที่มากกว่าการเป็นภาพถ่าย นอกเหนือจากการเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว Autographer ยังนำเทคโนโลยี internet-based cloud มาใช้ร่วมด้วยซึ่งสามารถสร้างหน่วยความจำที่ดีกว่าสมองเราอย่างแน่นอน
Autographer ได้เปิดตัวสู่ท้องตลาดเมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกล้องขนาดเล็กที่สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้พบกับประสบการณ์ที่มากกว่าการเป็นภาพถ่าย นอกเหนือจากการเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว Autographer ยังนำเทคโนโลยี internet-based cloud มาใช้ร่วมด้วยซึ่งสามารถสร้างหน่วยความจำที่ดีกว่าสมองเราอย่างแน่นอน
Gow Smart Sports Bra
Gow Smart Sports Bra หรือเรียกง่ายๆ คือสปอร์ตบราอัจริยะสำหรับสาวยุคใหม่ที่รักในการออกกำลัง ไม่เพียงแค่รูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยแล้ว บราตัวนี้ยังนำความอัจริยะมาสู่ผู้สวมใส่ โดยรวมเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ลงบนสิ่งทอ ที่สามารถเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนของคุณ แสดงผลข้อมูลการออกกำลังกายระหว่างสวมใส่ได้ จึงถือเป็นอีกสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับความนิยม สามารถใช้ได้ในกิจวัตรประจำวัน การฝังเซ็นเซอร์ลงบนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเป็นวิธีที่ง่ายที่จะสามารถติดตามพฤติกรรมผู้สวมใส่ได้ นอกเหนือจากตัวผู้สวมใส่เองที่จะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้แล้ว บุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น แพทย์ ผู้ดูแลผู้ป่วย ฯลฯ ยังสามารถติดตามดูได้เช่นกัน
Gow Smart Sports Bra หรือเรียกง่ายๆ คือสปอร์ตบราอัจริยะสำหรับสาวยุคใหม่ที่รักในการออกกำลัง ไม่เพียงแค่รูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยแล้ว บราตัวนี้ยังนำความอัจริยะมาสู่ผู้สวมใส่ โดยรวมเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ลงบนสิ่งทอ ที่สามารถเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนของคุณ แสดงผลข้อมูลการออกกำลังกายระหว่างสวมใส่ได้ จึงถือเป็นอีกสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับความนิยม สามารถใช้ได้ในกิจวัตรประจำวัน การฝังเซ็นเซอร์ลงบนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเป็นวิธีที่ง่ายที่จะสามารถติดตามพฤติกรรมผู้สวมใส่ได้ นอกเหนือจากตัวผู้สวมใส่เองที่จะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้แล้ว บุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น แพทย์ ผู้ดูแลผู้ป่วย ฯลฯ ยังสามารถติดตามดูได้เช่นกัน
UP24 by Jawbone
Jawbone เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่มีผู้คนรู้จักมากที่สุด จากการเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ติดตามการออกกำลังกายที่มีระบบการซิงค์ข้อมูลแบบไร้สาย และด้วยเทรนด์ของ Responsive Coaching ที่นอกเหนือจากการติดตามการออกกำลังแล้ว ยังตอบสนองแก่ผู้ใช้โดยการเสนอแนะนำการฝึกได้อีกด้วย และจะคอยแจ้งเตือนผู้สวมใส่หากไม่ได้มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง
Jawbone เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่มีผู้คนรู้จักมากที่สุด จากการเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ติดตามการออกกำลังกายที่มีระบบการซิงค์ข้อมูลแบบไร้สาย และด้วยเทรนด์ของ Responsive Coaching ที่นอกเหนือจากการติดตามการออกกำลังแล้ว ยังตอบสนองแก่ผู้ใช้โดยการเสนอแนะนำการฝึกได้อีกด้วย และจะคอยแจ้งเตือนผู้สวมใส่หากไม่ได้มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง
Pear Stride Intelligent Headphones
หูฟังอัจริยะนี้เป็นอุปกรณ์เฮดโฟนที่สามารถเชื่อมต่อกับแอปฯบนสมาร์ทโฟน ที่คอยกระตุ้นผู้สวมใส่ในขณะเทรน แถมยังเปิดเพลงหรือให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องตามสภาวะอารมณ์ของผู้สวมใส่ได้อย่างอัตโนมัติ
หูฟังอัจริยะนี้เป็นอุปกรณ์เฮดโฟนที่สามารถเชื่อมต่อกับแอปฯบนสมาร์ทโฟน ที่คอยกระตุ้นผู้สวมใส่ในขณะเทรน แถมยังเปิดเพลงหรือให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องตามสภาวะอารมณ์ของผู้สวมใส่ได้อย่างอัตโนมัติ
Misfit Bloom Necklace
มาถึงสร้อยคออัจริยะบ้าง Misfit Wearable นี้เป็นการผสมผสานระหว่างการออกแบบที่สวยงามกับเทคโนโลยี เช่นเดียวกับอุปกรณ์ Wearable อื่นๆ ที่เน้นการติดตามพฤติกรรมการออกกำลังของผู้สวมใส่ แต่สร้อยคอชิ้นนี้ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องประดับได้นั่นเอง เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบดีไซน์ของอุปกรณ์ Wearable Technology ที่ดูเหมือนสิ่งประดิษฐ์จากโลกอนาคต เรียกง่ายๆ ว่าช่วยดึงอารมณ์ของผู้สวมใส่ให้อยู่ในโลกของความงามจากจิวเวลลี่นั่นเอง เป็นไปได้ว่าในอนาคตจะมีการพัฒนาหน้าตาของอุปกรณ์ไฮเทคเหล่านี้ให้อยู่ในรูปแบบแฟชั่นมากขึ้น
มาถึงสร้อยคออัจริยะบ้าง Misfit Wearable นี้เป็นการผสมผสานระหว่างการออกแบบที่สวยงามกับเทคโนโลยี เช่นเดียวกับอุปกรณ์ Wearable อื่นๆ ที่เน้นการติดตามพฤติกรรมการออกกำลังของผู้สวมใส่ แต่สร้อยคอชิ้นนี้ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องประดับได้นั่นเอง เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบดีไซน์ของอุปกรณ์ Wearable Technology ที่ดูเหมือนสิ่งประดิษฐ์จากโลกอนาคต เรียกง่ายๆ ว่าช่วยดึงอารมณ์ของผู้สวมใส่ให้อยู่ในโลกของความงามจากจิวเวลลี่นั่นเอง เป็นไปได้ว่าในอนาคตจะมีการพัฒนาหน้าตาของอุปกรณ์ไฮเทคเหล่านี้ให้อยู่ในรูปแบบแฟชั่นมากขึ้น
นอกเหนือจากนี้ ยังมีอีกกว่า 100 ผลิตภัณฑ์บนหมวดหมู่ Wearable Tech Store ของอเมซอน และในอนาคตอาจจะมีสินค้าเทคโนโลยีที่ผสมผสานกับสินค้าแฟชั่นอย่างลงตัวมาวางจำหน่ายมากขึ้น
เห็นแล้วก็อดไม่ได้อยากมีเอามาไว้ใช้บ้าง ว่าแต่ thumbsuper สนใจตัวไหนเป็นพิเศษลองมาแชร์กันได้นะ
ที่มา : psfk
ที่มา : psfk
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)